สมัยที่ยังชอบท่องเที่ยวหาความสงบวิเวก อยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรได้พบหลวงปู่ผู้เฒ่าอายุเกือบจะ 90 ปี แต่ยังแข็งแรงปราดเปรียวเกินวัยท่านว่า ท่านเป็นชาวไทยใหญ่ แต่พูดภาษาคนเมืองได้ชัดเจนดี ท่านธุดงค์มาจากเมืองตองยี ประเทศพม่าท่านปักกลดอยู่ใต้ต้นตะเคียนยักษ์ริมลำห้วยเล็กๆ สายหนึ่งกลางป่าลึก
หลวงปู่ผู้เฒ่าองค์นี้ ท่านมีพลังจิตแก่กล้าเหลือคณานับดูเหมือนจะไม่เคยพบเคยเห็นท่านองค์ใดเหมือนหลวงปู่ไทยใหญ่องค์นี้มาก่อนเลยดวงตาของท่านคมกล้า แฝงพลังลึกลับอัศจรรย์ยิ่งไม่ว่าท่านจะหันไปจ้องมองดูอะไรรอบๆข้างสิ่งเหล่านั้นจะหยุดสงบนิ่งทันที นกที่กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้งอยู่บนคาคบไม้ยามเมื่อท่านแหงนหน้าจ้องมองดูก็จะหยุดร้องเกาะสงบนิ่งทันทีใบไม้ กิ่งไม้ ที่กำลังแกว่งไกวอยู่ก็จะหยุดเคลื่อนไหว แม้แต่กระรอกป่าหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังวิ่งหยอกล้อกันมาเสียงโครมครามบนกิ่งมะค่า เพียงท่านแหงนหน้ามองดูเจ้ากระรอกน้อยคู่นั้น เหมือนมีอำนาจอะไรสักอย่างหยุดตรึงให้อยู่กับที่ในกิริยาที่กำลังก้าววิ่ง ตราบกระทั่งท่านเปลี่ยนสายตาหันไปมองสิ่งอื่น เมื่อนั้นแหละ เจ้ากระรอกคู่นั้นก็จะเข้าสู่อาการเดิม คือเคลื่อนไหวได้ พร้อมทั้งกระโดดเผ่นหนีด้วยความตกใจอย่างไม่คิดชีวิต
หรือแม้กระทั่งน้ำในลำห้วย ที่ไหลรินๆ อยู่ขอดก้นห้วยในตอนเย็น ยามเมื่อท่านจะลงไปสรงน้ำ เห็นท่านยืนมองๆ น้ำอยู่ ชั่วครู่น้ำก็จะหยุดไหลเหมือนมีทำนบมากั้นไว้ ทำให้น้ำเออขึ้นมาเกือบครึ่งลำห้วยสะดวกที่จะลงสรงสนานได้อย่างดียิ่งเรามีวาสนาได้อุปฐากรับใช้สรงน้ำถวายท่าน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา(http://www.weekendhobby.com/walkingjungle/webboard/Question.asp?ID=109)
ส่วนในด้านปรจิต ท่านก็แสนจะว่องไวเหลือเกิน.ไม่ว่าท่านจะหลับหรือตื่น ดูท่านจะรู้อะไรๆ ไปซะหมดทุกอย่างไม่ว่าเราจะคิดนึกอะไร ถ้ากระเด็นออกนอกลู่นอกทางไม่ใช่อรรถไม่ใช่ธรรม ท่านจะสกัดทันที ไม่พูดดุตรงๆ ก็ใช้สายตาคมกล้าจ้องมองหน้าเรา ต้องสงบราบคาบหมอบนิ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าท่านทันทีเหมือนสมัยอยู่กับหลวงปู่ดุลย์ยังไงยังงั้นทีเดียว!
ท่านเอ่ยปากชมเรา ที่เอาตัวรอดออกมาจากกับดัก หรือไม้ตายของกิเลสเพราะสภาวะ “รู้” อันเป็นธรรมชาติของจิตนั้น ละเอียดอย่างยิ่งส่วนมากมักจะไปติดอยู่กับ “รู้” ที่เป็นกับดักของกิเลสแล้วที่สุดก็จะกลายเป็น หลงรู้ ไปท่านเมตตาพยากรณ์ในวิถีแห่งธรรมะที่เรากำลังปฏิบัติอยู่หลายอย่างแล้วมันก็จริงอย่างท่านพูดทุกอย่างที่เรากำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
เรามีวาสนาอยู่อุปฐากรับใช้ท่าน 1 คืน กับ 1 วันเต็มๆพอใกล้ค่ำขอเย็นวันนั้น ท่านก็จากไปตอนใกล้พลบค่ำท่านบอกว่าชอบเดินธุดงค์ตอนกลางคืน ท่านว่าเงียบสงบดี เออ เอากะท่านซิ. เราทิ้งบริขารมาส่งท่านที่ริมฝั่งลำห้วยท่านรับบริขารจากเราไป เราก็ก้มลงกราบแทบเท้าท่านท่านเอื้อมมือลูบศีรษะเราพร้อมทั้งให้ศีลให้พร จากนั้นท่านก็เดินจากไป เพียงแค่เราก้มหน้าใส่รองเท้าไม่ถึงห้าวินาที
พอเงยหน้าขึ้นมา…อ้าวท่านละลายหายไปไหนแล้วเหลือแต่กลิ่นหอมฟุ้งหอมตลบอบอวลไปทั่วแนวป่า.เราเองก็ไม่ได้ฝังจิตฝังใจกับเรื่องจุกๆจิกๆที่นอกเหตุเหนือผลเหล่านี้เท่าไหรนักแต่ชอบใจโอวาทของท่านที่เมตตาเตือนเราซึ่งเราก็น้อมรับด้วยความเคารพแล้วก็จำฝังจิตฝังใจมาจนทุกวันนี้ มิรู้ลืม
ท่านเมตตาสอนเราว่า…”…เป็นพระกรรมฐาน เดินป่าออกหาวิโมกธรรมจงอย่าได้ถือว่ามีอะไรเป็นอุปสรรคเย็น, ร้อน, อ่อน, แข็ง ก็ไม่เป็นอุปสรรค อดอยากหิวโหย ก็ไม่เป็นอุปสรรคแม้กำลังป่วยไข้อาพาธหนักใกล้จะตาย ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคทั้งนั้น ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาโลกนี้ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคของผู้ปฏิบัติธรรมเหตุเพราะเราปฏิบัติธรรมเพื่อให้เบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัดจากตัณหามิใช่หรือ? เพื่อความดับทุกข์ เพื่อให้พ้นไปจากทุกข์มิใช่หรือ? เมื่อเรามีปนิธานแล้วตั้งจิตอย่างแน่วแน่เด็ดขาดลงไปว่า
เราเข้ามาปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์อย่างเดียวเท่านั้นแล้วจะไปแยแสอะไรกับอุปสรรคทั้งหลายแหล่ จิตของเราก็มีแต่ความอิ่มเอิบในธรรม จิตจะสว่าง สะอาด สงบสันติแม้ถูกเสือกิน เราก็ยังยิ้มได้ เจริญวิปัสสนาในปากเสือได้ จิตมั่นคงไม่หวาดหวั่นต่อภัยใดๆ ทั้งสิ้น แม้ที่สุดคือความตาย…”
นี่เป็นโอวาทของพระธุดงค์เฒ่าหลวงปู่ไทยใหญ่องค์นั้น ที่เราได้พบท่านในกลางดงลึก แม้เหตุกาณ์ผ่านมาหลายปีแล้วแต่เรายังฝังใจในโอวาทของผู้เฒ่าท่านนั้นมิรู้ลืม…