ปราชญ์เกษตรกรใน ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ รื้อฟื้นวิธีปลูกอ้อยของคนสมัยโบราณ “ปลูกอ้อยลอยฟ้า” ปลูกครั้งเดียวกินน้ำอ้อยได้ทั้งชาติ ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือให้เห็นในประเทศไทย
นายประเสริฐ ศรีระสันต์ ปราชญ์เกษตรกรใน ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าของสวนเกษตรแบบผสมผสาน จุดถ่ายทอดความรู้การปลูกมะนาวในท่อซีเมนต์ และศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลควนลัง ได้รื้อฟื้นการปลูกอ้อยลอยฟ้า ซึ่งเป็นการปลูกอ้อยที่ลงมือปลูกครั้งเดียวแต่สามารถให้ผลผลิตได้อย่างต่อ เนื่อง และเป็นวิธีการปลูกอ้อยของสมัยโบราณ ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยเห็นได้จดจำวิธีการทำ และเล่าให้ฟังว่า ตามตำนานในอดีตมีการปลูกอ้อยลอยฟ้าจริง แต่ปัจจุบันไม่มีใครเคยเห็น และคาดว่าได้สูญหายไปแล้วในประเทศไทย
โดยวิธีการปลูกอ้อยลอยฟ้านี้เริ่มจากการนำพันธุ์อ้อยมาฝังดินเหมือนปลูกอ้อย ทั่วๆ ไป และดูแลให้เติบโตจนอายุประมาณ 6 เดือน หรือต้นเริ่มโตตั้งลำ จากนั้นก็จะเอาถังสี หรือถังน้ำมาผ่าตรงกลาง แล้วเอาไปครอบลำอ้อยเอาไว้บริเวณกึ่งกลางต้น
มัดถังให้ติดกัน ใช้ไม้หรือเหล็กเป็นตัวค้ำยันถังเอาไว้ และใส่ดินเข้าไปในถังให้เต็ม จากนั้นปล่อยเอาไว้ประมาณ 2 เดือน รากก็จะเริ่มงอกออกมาจากลำต้นที่นำถังมาใส่ดินเอาไว้ และขั้นตอนสุดท้ายคือ ใช้มีดตัดที่โคนต้นอ้อย ให้ลำอ้อยลอยอยู่กลางอากาศ และเฉือนให้เป็นรูปปากฉลาม ก็จะได้ต้นอ้อยแบบลอยฟ้า
การปลูกอ้อยแบบลอยฟ้านี้จะได้อ้อยที่สามารถกินน้ำได้นาน ซึ่งหากต้องการจะกินน้ำอ้อยก็ให้เอาแก้วมารองไว้ และใช้มีดปาดลำอ้อยจากส่วนที่อยู่ใต้ถังให้น้ำอ้อยไหลออกมาเหมือนกับการ ปาดงวงตาลโตนด ซึ่งอาจต้องใช้เวลารอ เพราะน้ำอ้อยจะไหลออกมาอย่างช้าๆ ทีละหยดเหมือนกับตาลโตนด
นายประเสริฐบอกว่า ข้อดีของการปลูกอ้อยแบบลอยฟ้า คือ มีน้ำอ้อยกินได้ต่อเนื่องทุกวันในต้นเดียว และปลูกแค่ครั้งเดียวสามารถกินได้ตลอดชาติ เพราะเมื่อปาดลำอ้อยขึ้นไปจนถึงถังที่มัดไว้ด้านบน และมีรากงอกอยู่ภายในถัง เราก็สามารถนำต้นเดิมกลับมาลงดิน และอ้อยจะต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่ออ้อยได้ขนาดก็ใช้วิธีการนี้ทำสลับไป-มา ร่นระยะเวลาการเติบโตให้สั้นลง และหากต้องการให้รสชาติหวานก็ทำได้โดยให้ใส่ปุ๋ยที่เร่งความหวานลงไปถัง
แต่วิธีการนี้เหมาะสำหรับทำภายในครัวเรือน หรือปลูกในพื้นที่ว่างบริเวณบ้าน และหนึ่งกอก็จะทำได้เพียง 1 ต้น ส่วนที่เหลือก็ตัดขาย หรือนำไปคั้นเป็นน้ำอ้อย ซึ่งการปลูกอ้อยแบบลอยฟ้านี้ทุกคนสามารถทำได้ และจากการทดลองทำก็ได้ผลตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่แนะนำมาจริงๆ และวิธีการนี้ในประเทศไทยไม่น่าจะมีหลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว